วันเสาร์, 18 มกราคม 2568

มะเร็งลำไส้ (Colorectal Cancer)

ภาพจาก bing ai

มะเร็งลำไส้ หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colorectal Cancer) เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่และส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ (ทวารหนัก) เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยทั้งในชายและหญิง และมีความร้ายแรงสูงถ้าไม่ได้รับการรักษาในระยะแรก การรับรู้ถึงปัจจัยเสี่ยง การตรวจคัดกรอง และการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ได้

การเกิดโรคและปัจจัยเสี่ยง

มะเร็งลำไส้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในเซลล์ลำไส้ที่ทำให้เซลล์เติบโตและแบ่งตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ จนกลายเป็นก้อนเนื้อที่มีความผิดปกติ ซึ่งก้อนเนื้อเหล่านี้สามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายได้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับมะเร็งลำไส้ ได้แก่:

  1. อายุ: ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  2. ประวัติครอบครัว: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้หรือโพลิป (Polyps) ในลำไส้มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  3. ภาวะทางพันธุกรรม: บางภาวะทางพันธุกรรม เช่น Lynch syndrome และ Familial adenomatous polyposis (FAP) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้
  4. โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง: เช่น Ulcerative colitis และ Crohn’s disease
  5. อาหารและวิถีชีวิต: การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง เนื้อแปรรูป การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการขาดการออกกำลังกายเพิ่มความเสี่ยง
  6. โรคเบาหวาน: ผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลินหรือเป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงขึ้น

การตรวจวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ประกอบด้วยหลายวิธีเพื่อตรวจหามะเร็งในระยะแรก ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็ง วิธีการตรวจหลัก ๆ ได้แก่:

  1. การตรวจคัดกรองด้วยการส่องกล้อง (Colonoscopy): เป็นการใช้กล้องส่องลำไส้ใหญ่เพื่อดูภายในลำไส้ใหญ่และทวารหนัก สามารถตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหรือกำจัดโพลิปที่พบได้
  2. การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test – FOBT): ตรวจหาเลือดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในอุจจาระ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของมะเร็ง
  3. การตรวจอุจจาระด้วย DNA (Stool DNA Test): ตรวจหา DNA ของเซลล์มะเร็งที่อาจหลุดออกมากับอุจจาระ
  4. การตรวจภาพ (Imaging Tests): เช่น CT colonography (Virtual Colonoscopy) และการตรวจด้วย MRI เพื่อดูภาพของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

การรักษา

การรักษามะเร็งลำไส้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย และความพร้อมในการรับการรักษา ประกอบด้วย:

  1. การผ่าตัด (Surgery): เป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งลำไส้ โดยการตัดเอาส่วนที่มีมะเร็งออก บางครั้งอาจต้องผ่าตัดร่วมกับการทำ Colostomy หรือ Ileostomy ซึ่งเป็นการเปิดรูระบายที่ผนังหน้าท้อง
  2. การให้เคมีบำบัด (Chemotherapy): การใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือการฉายแสง
  3. การฉายแสง (Radiation Therapy): ใช้รังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง ส่วนใหญ่มักใช้ในกรณีของมะเร็งทวารหนัก
  4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): ใช้ยาเฉพาะเจาะจงที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเซลล์ปกติ
  5. การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง

การประคับประคอง

การดูแลประคับประคอง (Palliative Care) มีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ โดยเฉพาะในกรณีที่โรคอยู่ในระยะลุกลาม การประคับประคองสามารถรวมถึง:

  1. การจัดการอาการ: เช่น การควบคุมความเจ็บปวด การจัดการกับอาการคลื่นไส้และอาเจียน และการดูแลเรื่องการขับถ่าย
  2. การสนับสนุนทางจิตใจและอารมณ์: การให้คำปรึกษาและการสนับสนุนทางจิตใจเพื่อช่วยผู้ป่วยและครอบครัวรับมือกับความเครียดและความวิตกกังวล
  3. การสนับสนุนทางโภชนาการ: การให้คำแนะนำด้านโภชนาการและการจัดการอาหารเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
  4. การดูแลที่บ้าน: การดูแลผู้ป่วยที่บ้านโดยทีมแพทย์และพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยและสบายใจ

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ต้องการการร่วมมือระหว่างแพทย์ พยาบาล นักโภชนาการ และผู้ดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ครอบคลุมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้